25 พฤศจิกายน 2550

"Understanding of Asian culture"

นี่เป็นอีเมล์ที่ผมได้รับมาจากเพื่อนๆผมส่งมาให้
เห็นแล้วก็รู้สึกชอบดี ดูคนที่ทำงานนี้มาเค้าต้องการ
จะบอกอะไรเราสักอย่าง จึงอยากให้คนอื่นๆได้เห็นกันบ้าง
และที่สำคัญคนทำงานนี้รู้สึกว่าจะเป็นคนจีน
ที่ไปเรียนที่ต่างประเทศด้วยเป็นมุมมองมุุมหนึ่ง
ของนักออกแบบที่อย่างน้อยเค้าก็ไม่ได้มองอะไรด้นเดียว
อย่างน้อยก็มีสองด้านแล้วละคับ
ผมว่าเค้าไม่ค่อยตอแหลดี
"สีนำ้เงินคือฝรั่ง สีแดงคือเอเซีย"























"no body perfect"











วันนี้เป็นวันแรกที่กลับมาจากการไปเที่ยวภาคเหนือมา
อากาศกำลังดีมากๆ แต่ผมไม่ได้ไปเที่ยวเหมือนที่เคยผ่านๆมา
ครั้งนี้เป็นการไปใช้ชีวิตโดยเปลี่ยนบรรยากาศและสิ่งแวดล้อม
คือมีเพื่อนเค้าจะกลับบ้านที่เชียงรายเลยชวนผมไปด้วยกัน
ช่วยกันขับรถ ไปกินไปอยู่กับบ้านเค้า ใช้ชีวิตแบบชนบท
ซึ่งมันก็เป็นบรรยากาศที่ไม่ค่อยแปลกเท่าไหร่หรอกคับ
เพราะผมก็เป็นเด็กต่างจังหวัดเหมือนกัน
มันเป็นชีวิตที่ง่ายๆ เป็นการใช้ชีวิตเพื่อตอบคำถามง่ายๆ
คือ มีชีวิตอยู่ ทำงานเพื่อเลี้ยงชีวิต ดูแลครอบครัวให้มีความสุข
ทั้งๆที่มันก็เป็นปัจจัยพื้นฐานของคนทั่วๆไปที่ควรจะมี
แค่เพียงว่าอยู่ในกรุงเทพ อยู่ในเมืองมันมีสิ่งเร้าอย่างอื่น
ที่เข้ามามีอิทธิพลกับการใช้ชีวิตที่มากมายและฟุ่มเฟือยจบเกินไป
แต่ผมก็ไม่ได้คิดเลยว่าการใช้ชีวิตฟุ่มเฟือยมันผิดหรือไม่ดี
มันเป็นสิทธิความอิสระที่จะเลือกใช้ชีวิตของแต่ละบุคคลมากกว่า
ตราบใดที่คุณยังสามารถหาความสุขได้โดยไม่ลำบากผู้อื่น
กลับมาเข้าเรื่องอีกที ที่ผมต้องการจะมาเล่าให้ฟังคือ
การไปเที่ยวครั้งนี้ไม่มีแบบแผน ไม่ม่แปลน ไม่มี่เงิน
มีเท่าไหร่ใช้เท่านั้น ไปที่ไหนได้บ้างก็ไปที่นั่น ไม่มีข้อกำหนดเลย
ว่าไปเที่ยวภาคเหนือแล้วจะต้องไปเที่ยวไหนบ้าง แต่สำคัญคือต้องเมา
ซึ่งถ้าเป็นคนอื่นอาจจะต้องเบื่อหรือเซ็งที่ไปเที่ยวทั้งทีกลับไม่ได้ไป
ที่ดังๆหรือไปถ่ายรูปกับสถานที่ที่คนคนส่วนใหญ่นิยมกัน
แต่ผมไม่ได้คิดอย่างนั้น ผมว่ามันก็เป็นทริ๊ปที่ไปเที่ยวทริ๊ปนึง
การไปในสถานที่ใหม่ๆที่เราไม่เคยไปแค่นี้มันก็ทำไห้เราได้พบกับ
ความแปลกใหม่อยู่แล้ว ผมเตรียมอุปกรณ์ทั้งกล้องdigital
และกล้องฟิลม์ไปพร้อม เผื่อเจอกันสิ่งใหม่ๆที่น่าจะบันทึกจะได้พร้อม
แต่ไม่ได้ไปเที่ยวไหนมากมันก็ไม่เป็นไร เพราะสิ่งใหม่ๆมันไม่ได้
มีอยู่แค่บนดอยหรือในอุทยานแห่งชาติเท่านั้น รอบๆตัวเรามันมี
ความสวยงาม ความแปลกใหม่ ความน่าสนใจอยู่แล้วเสมอ
แต่ด้วยความใกล้ตัวของมันคนเรามักจะมองไม่เห็นหรือไม่มองมันเอง
กลับไปให้ความสนใจ ให้ความสำคัญกับสิ่งใกล้ตัวของคนอื่นแทน
ตัวอย่างที่ผมได้เจอก็เช่น ของเล่นเด็กเล็กที่เป็นพวกตัวต่อ
ซึ่งไม่ค่อยได้เห็นนานมาแล้ว ทั้งที่ตอนเด็กก็เคยเล่นเคยสนใจเหมือนกัน
แต่ตอนนี้วันเวลามันเปลี่ยนไปความสุขมันเปลี่ยนไป ความต้องการ
มันต่างกันไปกับเมื่อตอนเด็กผมอาจไม่ต้องการไม่สนใจมันแล้ว
ใครจะไปรู้ว่าวันนึงของเล่นเชยๆเด็กมันจะมาทำให้คนที่อายุยี่สิบกว่า
มาสนใจ มานั่งเล่นนั่งจับมันอีกครั้ง แต่ด้วนมุมมองที่ต่างกันไปกับ
เมื่อยี่สิบปี่ที่แล้ว สถานนะของผมที่มองของเล่นชิ้นเดิมตอนนี้คือ
นักเรียนมหาวิทยาลัย ที่เรียนเกี่ยวกับศิลปะ แต่ด้วยสีสันของเล่น
ที่ฉูดฉาด น่าสนใจ มันทำให้ผมกลับไปสนใจสิ่งเดียวกับเด็ก2ขวบ
นี่ผมคิดว่ามันน่าจะเป็นตัวอย่าง ของการมองที่ผมคิดว่ามันก็ดีเหมือนกัน
แค่การมองสิ่งใดสิ่งหนึ่ง สิ่งเดียวกัน แต่ด้วยสภาวะและเวลามันทำให้
คนเรามองสิ่ง ต่างกันออกไป แค่เพียงมองสิ่งๆเดิมแต่ในอีกมุมมอง
มันก็ทำให้เราใด้เจอกับอะไรใหม่ได้เหมือนกัน
แม้มันจะเป็นทริ๊ปที่ไม่ค่อยที่จะ perfect เท่าไหร่ตามความคิด
ของใครบางคน แต่สำหรับผมผมมีความสุขแล้ว
แล้วในทริ๊ปนี้มันก็ทำให้ผมได้ลองถ่ายภาพในมุมมองแปลกๆดู
มันอาจไม่เป็นภาพถ่ายที่สมบูรณ์ ตามหลักของการถ่ายภาพที่ถูกวิธี
หรือสมบูรณ์แบบ ซึ่งผมอาจเคยมองเห็นมันมาแล้ว หรือเปล่าก็ไม่รู้
แต่เมื่อก่อนผมไม่เคยที่จะคิดถ่ายมัน เนื่องจากคิดว่ามันไม่น่าสนใจ
แต่มาจนถึงในวันนี้ผมมีประสบการณ์ถ่ายภาพมานานขึ้นกว่าเมื่อก่อน
ความคิดต่างๆและมุมมองผมอาจจะเปลี่ยนไปบ้างไม่มากก็น้อย
ผมจึงจะกลับมามองกับสิ่งที่ผมเคยคิดว่าไม่น่าสนใจ ไม่น่าถ่าย
อีกครั้งนึง ม็มีภาพที่เก็บมาฝากเพื่อนๆกับบ้าง นี่เป็นภาพที่ผมคิดว่า
มันก็น่าสนใจเหมือนกัน อยากให้คนอื่นได้เห็นบ้าง เผื่อที่คุณๆทั้งหลาย
อาจจะมีความรู้สึกใหม่ๆ กับผมคนเดิมๆบ้าง











"I draw cause I can draw"

Kentaro Hiroki ศิลปินสายเลือดแดนปลาดิบ
ที่ no space atr gallery แถวๆซอยสุขุมวิท71 โดยเมื่อปี่ที่แล้วผมและเพื่อนๆ มีโอกาศได้เรียนกับKentaro ในวิชาCom Design4กับเขา
แต่สำหรับเหตุผลที่ผมต้องมาเรียนอีกครั้งในปีนี้นั้น จะไม่ขอพูดถึงแล้วกัน(ละไว้ในฐานที่ไม่ค่อยเข้าใจ)
โดยครั้งนี้ก็เป็นครั้งแรกของการเจอกันหลังจากที่เคยเจอกันทุกสัปดาห์
นี่เป็นการไปดูงานด้วยความต้องการความรู้ประสบการใหม่
ไม่ได้ไปเพราะต้องการคะแนนหรือต้องการเช็คชื่อ
ผมเคยเรียนกับอาจารมาก็หลายคน
หลากหลายความเก่งหลากหลายสไตล์
แต่Kentaroก็เป็นอาจารย์คนหนึ่งที่ผมชอบ
วิธีการเรียนการสอนของเค้า
เขามักจะพยายามบอกไห้นักเรียนคิดอยู่เสมอ
และก็สอนให้เรามองสิ่งที่เรารู้จักหรือคุ้นเคยอยู่แล้ว
ให้เราลองมองมันในอีกแง่มุมหนึ่ง
ซึ่งมันอาจทำให้เราได้พบกับสิ่งใหม่
ทั้งทัี่เราคุ้นเคยกับมันอยู่แล้ว
แต่แค่ยังไม่เคยมองมันในมุมใหม่
เคนทาโร่เคยบอกเสมอว่าการทำงาน
มันไม่จำเป็นต้องพึ่งคอมพิวเตอร์เสมอไป
มันอาจเป็นข้อจำกัดความคิดของเรามากกว่า
แต่อาจจะด้วยปัญหาด้านการสื่อสาร
หรืออะไรซักหลายๆอย่างทำให้ผมไม่ค่อยจะได้ถาม
อะไรส่วนตัว(คุยนอกคลาส)กับเขามากมาย
เมื่อมีโอกาศได้ไปดูงานของKentaro
ผมก็คงจะไม่อยากพลาดที่จะไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์ความรู็














เมื่อวันพฤหัสที่ผ่านมา ผมมีโอกาศได้ไปร่วมในวันเปิดแกเลอรี่ของ


เมื่อไปถึงที่แกเลอรี่ก็ได้เจอกับบ้านหลังหนึ่งที่มีคนนั่งคุยกัน
ประมาณสักยี่สิบกว่าคนนั่งๆยืนๆคุยกันอยู่ไม่รู้ว่ามาผิดงานหรือเปล่า
แต่พอมองๆไปก็ได้เจอกับKentaroเขาก็เชิญให้เข้าไปชมงานข้างไน
ความรู้สึกแรกที่สัมผัสได้เมื่อเข้าสู่ในงานก็คือเป็นกันเอง อบอุ่น สบายๆ
แต่ปัญหาก็คือ "ไหนงานว่ะ"เพราะลองมองหาดูรอบๆตัวแต่ไม่เห็นจะมีงานเลย
มีแต่คนนั่งคุยกัน และโปรเจ็คเตอร์เปิดอยู่ฉายอยู่ ผมก็คิดว่ามันเป็นงานหรือเปล่า
แต่เมื่อเดินงงๆสักพักKentaroก็เดินเข้ามาหาแล้วก็อธิบายบางอย่างให้พวกผมฟัง
จับใจความสำคัญและแปลแบบมั่วๆได้ว่า การมาดูงานของเขานั้นอาจไม่เหมือนกับ
การไปดูงานที่อื่นๆที่เคยไปดูมา ถ้าจะดูงานของเขาสิ่งหนึ่งที่คุณต้องทำก็คือ
หาว่างานเขาอยู่ตรงไหน แต่ก็พอที่จะดูออกเพราะบนฝาผนังจะมีไฟส่องลงมาอยู่
ก็พอจะเดาออกว่ามันต้องเป็นงานแน่ๆเลย "แล้วมันจะส่องทำไมว่ะ"
ก็เพราะมันเป็นกระดานเปล่าๆไม่มีอะไรเลย
แต่พอเริ่มงงกับอยู่พักใหญ่ก็ได้สังเกตุเห็นว่าบนพื้นข้างๆฝาผนังทุกอัน
ก็จะมีพวกขยะวางอยู่นิดๆหน่อยๆเราก็เคยเห็นงานเขาอยู่บ้าง
นั่นมันคืองานนี่เองเกือบจะเหยียบหรือเก็บไปทิ้งแล้ว
งานทุกชิ้นถ้าไม่ใช่คนที่ตั้งใจมาดูหรือไม่มีใครบอกก็คงจะไม่รู้
ว่ามันคืองานแน่นอน
แต่Kentaroก็ได้เข้ามาอธิบายงานเขาผมก็ได้รวบรวมศัฟท์ภาษาอังกฤษ
เท่าทีเคยผ่านเข้ามาในชีวิต และแล้วการสนทนาแบบมั่วนิ่มก็เริ่มขึ้น
โชคดีที่มีอาจารย์บลูอยู่ด้วยในงานเลยได้พอถามบางประโยคที่เดาไม่ออก
Kentaro อธิบายว่างานของเค้านั้นเป็นการทำงานที่ง่ายดายมากๆ very simple
ที่เค้าทำงานโดยCopy ลอกลายของเศษขยะหรือบิลจากซื้อของหรือตั๋วรถเมย์ต่างๆ
ที่เขาวาด(drawing)ก็เพราะว่าเขาวาดเป็นแล้วก็วาดรูปได้
ที่เขาทำอย่างนี้เพราะว่าเขาทำได้
และเขาก็ไม่ได้มีเงินเยอะ แม้เขาไม่มีเงินเขาก็สามารถทำงานได้
และถึงแม้ว่าคนอื่นมีเงินเยอะแต่ก็ไม่สามารถทำงานอย่างงี้ได้
ถ้าหากว่าเขาทำไม่เป็นหรือไม่ได้ชอบทำงานแบบนี้
และสิ่งที่เขาเลือกที่จะทำงานกับของเหล่านนี้ก็เพราะว่า
มันเป็นสิ่งของที่อยู่ใกล้ตัวเรามาก อยู่กับเราทุกวันๆ
จนคนเราหลายคนไม่เคยไห้ความสนใจกับมันเลย
พอซื้อของก็ทิ้งใบเส็จหรือกินของแล้วก็ทิ้งมันไปแค่นั้นเอง
ผมได้พยายามถามเขาต่อว่าคุณต้องการจะสื่อให้ผู้ชมงาน
คิดถึงหรือนึกถึงอย่างไร เขาก็บอกว่าแล้วแต่คนคิด
แล้วแต่ความคิดของผู้ชมแต่ละคนที่จะคิดหรือมองงานเขาอย่างไร
งานของเขานั้นเมื่อคุณมองมันคุณต้องมองให้มันให้เข้าไปเห็นถึงรายละเอียด
ของมัน คุณจะรู้ว่างานนั้นมันละเอียดมาก และเมื่อคุณดูใกล้ๆก็จะรู้ว่า
งานทุกชิ้นนั้นทำจากการวาดด้วยมือล้วนๆ มีรายละเอียดเล็กๆทุกอย่าง
ทั้งๆที่เขาเป็นคนญี่ปุ่น แต่กลับสามารถวาดได้ละเอียดกว่าคนไทยด้วยซำ้