29 กุมภาพันธ์ 2551

บรรยากาศการขึ้นเขียง

นี่ก้อเป็นบรรยากาศการเรียนในคาบสุดท้ายที่ทุกคนรอคอยและมันก็ได้จบลงไปได้ด้วยดีมั้งคับ หรือว่ามันเพิ่งจะเริ่มก็ไม่ทราบ














Final Project


อันนี้ก็ถือเป็นการสิ้นสุดการเดินทางของเส้นทางComunication Art Design 4 ถึงแม้มันจะเป็นการเดินทางที่ผมเคยไปมาแล้วรอบนึงแต่ไปไม่ถึง แต่เมื่อได้มีโอกาศที่จะได้ออกเดินทางใหม่ในปีนี้อีกครั้ง มันก็ทำให้ผมสามารถเดินทางโดยที่พอจะรู้ข้อมูลบ้างว่าเส้นทางสายนี้มันมีอุปสรรคอะไรบ้าง
และผมจะต้องมีเป้าหมายของการเดินทางครั้งนี้ คือ ผมจำเป็นที่จะต้องเดินทางให้ถึงเป้าหมาย โดยสวัสดิภาพ และต้องเป็นการเดินทางที่สนุกสนานหรรสา ทั้งผมและเพื่อนๆผู้เริ่มเดินทาง แม้เพื่อนบางคนอาจจะไม่สนุกเท่าไรก็ตาม แต่ผมก็ยังถือว่าโชคดีที่ตัดสินใจเลือกการเดินทางโดยใช้ TAXI มันก็เลยไปถึงจุดหมายได้โดยไม่ต้องเลือกการเดินทางแบบต่างๆให้งง แต่ผมก็ไม่ได้เดินทางแบบง่ายๆน่ะครับ แม้จะดูง่ายๆ แต่ผมก็ต้องจ่ายเงินค่าTAXI เหมือนกัน ซึ่งมันก็เป็นการเดินทางที่โอเคน่ะ ระหว่างทางก็แวะถามทางอยู่เรื่อยๆ เดาเองบ้าง หลงทางบ้าง ก็สนุกดี แต่ว่าผมมีค่าแท็กซี่เพียงเท่านี้ทำไงได้

ผมต้องขอขอบพระคุณท่านอาจารย์ทั้งสองมากที่ช่วยให้คำแนะนำและกลัดเกลาและแนะนำเส้นทางการเดินทางของผมจนไปถึงเป้าหมายได้ตามความต้องการ โดยเฉพาะที่อาจารมะลิได้แนะนำผมให้รู้จักกับ David Hockney ซึ่งผมไม่ค่อยจะได้รู้จักใครมากเท่าไหร่ แต่มันเป็นสไตล์ที่ผมเคยคิดจะทำอยู่เลยครับ ทั้งๆที่ผมไม่เคยรู้จัก ​็ Hockney มาก่อน มันจึงทำให้ผมมีความสุขที่ได้ทำงานโปรเจคนี้ แม้มันจะใช้พลังงานไปมากมายพอตัว ผมจะไม่ให้การทำงานวิชานี้จบไปแบบง่ายๆแน่นอน ถ้าในอนาคตผมได้มีโอกาศได้เดินทางบนเส็นทางสายนี้ผมจะต้องนำเทคนี้ไปถ่ายทอดต่อสาธารณะชนให้ได้ครับ ขอบคุณมากๆ แต่ผมก็ขอโทษด้วยน่ะครบที่อาจจะทำให้อาจารย์ทั้งสองปวดกะบาลบ้างในบางอารมณ์ It's my style.....

28 กุมภาพันธ์ 2551

รถใหญ่ไล่รถเล็ก

อันนี้ก็เป็นอะไรเล็กๆน้อยๆที่ผมถ่ายมาแต่ไม่ได้ใช้งาน แต่ถ้าเราหัดหันมามองอะไรที่ไม่ใช่ประเด็นหลักของเรา แล้วรู้จักการจัดระเบียบการมองของเราในแง่มุมอื่นบ้าง มันก็สนุกดีน่ะครับ ของพวกนี้มันก็เป็นสิ่งที่ผมเห็นอยู่ทุกๆวันอยู่แล้วแต่ก็ไม่เห็นจะอยากยกกล้องขึ้นมาถ่ายเลย แต่พอตอนที่ตั้งใจจะไปถ่ายแท็กซีี่ผมดันกลับอยากถ่ายอย่างอื่น ทำให้ผมรู้ได้ว่าไม่ใช่เรื่องน่าเบื่อเลยสำหรับการที่เราจะอยู่กับอะไรสักอย่าง และอยู่กับมันแบบจิงๆ มันไม่ใช่ว่าอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างเดียวแล้วเราจะได้แต่สิ่งนั้น ผมเชื่อมั่นในความสัปดลของคนเรา แต่มันก็คงจะดีน่ะถ้าอาจารย์เออ ออ ตามผม นี่แหละผมว่าข้อดีของ Observation.

ผลพลอยได้

ภาพเล่านี้เป็นภาพที่ผมถ่ายด้วยความบังเอิญหรือไม่ได้ตั้งใจที่จะไปถ่ายมันนั่นเอง ซึ่งมันไม่ค่อยจะเป็นวิธีการถ่ายรูปของผม จากปกติเวลาที่ผมอยากจะออกไปถ่ายรูปผมก็จะแบกกล้องแล้วก็ออกผจญภัยไปในสถานที่ต่างๆโดยที่มีความคาดหวังว่า จะได้เจอกับสิ่งที่ผมต้องการ
แต่การที่ได้ภาพถ่ายที่มาจากการที่ออกไปทำงานอย่างเดียว คือออกไปถ่ายแท็กซี่ในมุมเดียวและอย่างเดียว แต่นี่มันเป็นสิ่งที่ผมออกนอกลู่นอกทางจากเป้าหมายการทำงาน แค่เพียงเท่านั้นมันก็กลับได้ภาพที่ผมชอบด้วยซำ้ไป อาจจะไม่ได้เอาไปส่งอาจารแต่ก็ได้ความชอบส่วนตัวผม
อาจารย์คงเข้าใจนะครับว่ามำไมงานที่ผมทำถึงไม่ค่อยออกมาสมบูรณ์ ออกนอกลู่นอกทางมันเป็นนิสัยของผมซ่ะแล้ว ขำๆครับ.




colour of taxi

27 กุมภาพันธ์ 2551

ความสุขเล็กๆ


สวัสดีอีกครั้งครับ กับบทความครั้งนี้ของผม ซึ่งผมต้องขอโทษด้วยไม่มีความสามารถพอที่จะรักษาความสม่ำเสมอ ในการอัฟบล็อค แต่จะด้วยเหตุผลอะไร คงไม่เสียเวลามาอธิบายแล้วกันนะครับ เพราะมันก็คงจะคล้ายๆกัน กับเหตุผลของรุ่นพี่หรือรุ่นก่อนๆที่อาจารย์คงจะพอเดาออก สำหรับผมการที่ได้มาเรียนวิชานี้แล้วได้รู้จักกับการอัฟบล็อค มันทำให้ผมได้มีความรู้สึกที่แปลกๆต่างๆดีเหมือนกัน โดยปกติแล้วผมก็เป็นคนที่พูดมากอยู่แล้ว แต่เวลา
คิดที่จะเขียนหรือพิมออกมานั้น ผมว่ามันได้ฝึกการใช้ทักษะการสื่อสารที่ต่างออกไปกับสิ่งที่ผมเคยชิน ทุกครั้งที่ผมได้มีเวลามานั่งอัฟบล็อคมันยากมากเลยที่จะหาเวลานั้น แต่เมื่อได้เริ่มในการอัฟ(เริ่มโม้) มันทำให้รู้สึกลื่นไหลไปเรื่อยๆ อยากจะอธิบายต่อไปเรื่อยๆ มันสนุกดีนะครับ ที่ได้สื่อสารกับคนโดยที่ไม่ต้องเผชิญหน้ากัน และเราก็เป็นฝ่ายสื่อสารอย่างเดียว ไม่มีใครคอยมาเบรค หรือเบี่ยงเบนความสนใจไปจากเรา สนุกดีน่ะครับ อย่างน้อยก็มีอาจารย์ที่จำเป็นต้องอ่านของผมล่ะครับ

ผมขอเริ่มเข้าสาระกันบ้างสำหรับการเรียนวิชาComunication Art Design4 การที่ผมได้เรียนวิชานี้กับอาจารย์ทั้ง 2 ท่าน ผมขอบอกเลยว่าผมตั้งใจ
ที่จะรอลงทะเบียนเพื่อเรียนกับอาจารย์ ที่ไม่ได้มาเรียนสัปดาห์แรกก็เพราะว่าผมรอให้ตารางสอนออกก่อนแล้วค่อยลงทะเบียน เนื่องจากผมอยากลองของ มีเพื่อนๆเคยบอกผมว่าถ้าผมได้เรียนกับอาจารย์ติ๊กต้องแย่แน่นอน ผมต้องไม่รอดแน่นอน อาจจะต้องเรียนใหม่อีกครั้งนึงอีกเป็นแน่แท้ เพราะอาจารไม่ค่อยยอมปล่อยไหลเด็กไปง่ายๆ แต่ผมก็อยากจะลองดูเหมือนกัน เพราะผมคิดว่าเมื่อเรียนจบไปผมอยากจะทำงานที่เกี่ยวข้องกับสายที่เรียนมา และถ้าจะไปทำงานสิ่งนึงที่หนีไม่พ้นนั่นก็คือลูกค้า อาจารย์ที่เคี่ยวๆผมว่าก็เหมือนๆกับลูกค้าที่เรื่องมากนั่นเอง ยังไงมันก็คงจะเป็นสิ่งที่หนีไม่พ้นอยู่แล้ว ถือเป็นการทดลองใช้ชีวิตภายใต้ความกดดันดูก่อน ซึ่งเหลือเวลาให้ผมทดลองอีกแค่ 2-3 วิชาเท่านั้น ก่อนที่จะต้องออกไปเผชิญกับโลกกว้างที่กำลังร้อนตามลำพัง และเมื่อเรียนมาจนถึงสัปดาห์สุดท้ายแล้วผมก็ถือว่ามีความพอใจในระดับนึงคับ

แต่ต้องขอบอกก่อนเลยว่าผมเรียนวิชานี้เป็นการเรียนที่ผมมีความสุขนะครับแม้แต่ช่วงเวลาที่ทำงานก็มี่ความสุข แต่จะไม่สุขมากขอใช้คำว่าไม่ได้ลำบากใจในการเรียนเลย อาจจะเป็นเพราะว่าผมได้ทำงานที่มันเกี่ยวข้องกับสิ่งที่ผมชอบคือการถ่ายภาพก็เป็นไปได้ เลยรู้สึกไม่ค่อยฝืนตัวเอง
มันทำให้ผมได้รู้อะไรหลายอย่าง รู้ว่าเราเป็นใคร รู้ว่าเราควรทำอะไร รู้ว่าเราทำอะไรเป็น รู้ว่าเราจะทำอะไร รู้ว่าเราควรจะทำอย่างไร ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ผมคิดว่าเราควรจะรู้มาตั้งนานแล้ว แต่มีอยู่อย่างนึงที่ผมคิดว่าสำคัญมากเลย คือ การที่ได้รู้ว่าเราไม่รู้อะไรบ้าง ผมว่าคงมีคงหลายคนที่ใช้คำว่า ไม่รู้ ไม่ทราบ ไม่ชอบ ไม่ได้สนใจ เป็นต้น มาใช้เพื่อการที่จะปฏิเสธอะไรบางอย่าง แล้วมันก็จะทำให้คนเหล่านั้นปิดประตูกับสิ่งเหล่านั้นไปอย่างสิ้นเชิง
ผมว่าอะไรที่เราไม่เคยรู้จักหรือรู้จักแค่นิดหน่อยแล้วก็ไม่เอาแล้วไม่ชอบ รับไม่ได้ สิ่งเหลานั้นผมคิดว่ามันอาจจะเป็นสิ่งใหม่ก็ได้ แต่หลายคนกลับมีความสุขกับการที่ได้อยู่กับสิ่งที่ถนัด สิ่งที่ชอบ สิ่งที่ทำแล้วมีความสุข จะให้มองกันอีกด้านผมว่านั่นมันก็คือสิ่งเก่า หรือสิ่งเดิมนั่นเอง แต่เราอาจจะไม่เบื่อไม่รังเกียจมัน เพราะเราโดนบดบังไปด้วยความสุขของเรานั่นเอง ซึ่งมันก็ไม่ได้ผิดอะไรเลย ใครทำอะไรถ้าไม่เบียดเบียนคนอื่นก็คงไม่น่าจะผิด
แต่ที่สำคัญคือ อย่าเบียดเบียนตัวเองแล้วกัน

ผมตั้งใจไว้แล้วก่อนเรียนวิชานี้ว่าผมจะไม่เชื่อมั่นอะไรในตัวเองมากเกินไป ผมจะฟังความคิดเห็นของ อาจรย์ เพื่อนๆ หรือคนอื่นๆ ที่จะให้คำแนะนำหรือความรู้ รวมถึงรับฟังทัศนะคติของคนอื่นที่มีต่อเรา และงานของเราด้วย ผมว่ามันเป็นความวิเศษมากเลยครับถ้าเราเรียนรู้ความคิดเห็นของคนอื่น เพราะคนอื่นก็มีอะไรๆหลายๆอย่างที่เหมือนกันกับเราเกือบทุกอย่าง แต่สิ่งที่ต่างกันนั่นมันก็คือ ความรู้สึกนึกคิด หรือจิตใจนั่นเอง พวกเราหลายๆคนก็คงจะเคยมีความสุขจากการตอบสนองจิตใจตัวเองกันมาเยอะแล้ว แต่มันจะดีแค่ไหนถ้าเราเก่งถึงขั้นไปตอบสนองได้ถึง จิตใจของคนอื่น ผมก็อยากจะเรียนรู้จิตใจของคนที่เกลียดผมบ้างหมือนกัน มันน่าได้อะไรสิ่งใหม่เกิดขึนบ้าง มีอยู่อย่างนึงที่ผมกำลังสนใจอยู่คือ ผมกำลังเรียนรู้ข้อดีจากข้อเสียของตัวเองอยู่ คงจะน่าสนใจดีน่ะถ้าบรรลุได้ แต่ผมก็รู้วิธีแล้วว่าถ้าเราอยากเรียนรู้อะไรก็แค่ลองเปิดใจให้กว้าง แล้วก็ใช้เวลาอยู่กับมัน ให้ความสำคัญกับมัน สิ่งที่เราต้องการมันก็จะออกมาเอง ถ้าเราไม่ปิดตัวเองซ่ะอย่างยังไงทุกสิ่งทุกอย่างก็เป็นความรู้หรือสิ่งใหม่ได้ หลายๆคนพยายามจะคิด
จะรู้ จะสร้าง จะทำแต่สิ่งใหม่ๆ ด้วยการทำทุกวิถีทาง แต่ไม่เคยเลยที่จะทำความรู้จักกับตัวเองก่อน ทั้งๆที่มันง่ายมากเลย เพียงแค่สนทนากับตัวเองในใจก็ได้แล้ว เมื่อเรารู้จักตัวเองแล้ว เราก็จะรู้ว่าเราต้องการอะไร แล้วจะมีความสุขแค่ไหน ถ้าเราสามารถทำตามความปรารถนาของตนเองได้
ทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้นนี้มันก็คือความต้องการของผมที่อยากจะบอกคนอื่น แค่นี้ผมก็มีความสุขแล้ว.