27 กุมภาพันธ์ 2551

ความสุขเล็กๆ


สวัสดีอีกครั้งครับ กับบทความครั้งนี้ของผม ซึ่งผมต้องขอโทษด้วยไม่มีความสามารถพอที่จะรักษาความสม่ำเสมอ ในการอัฟบล็อค แต่จะด้วยเหตุผลอะไร คงไม่เสียเวลามาอธิบายแล้วกันนะครับ เพราะมันก็คงจะคล้ายๆกัน กับเหตุผลของรุ่นพี่หรือรุ่นก่อนๆที่อาจารย์คงจะพอเดาออก สำหรับผมการที่ได้มาเรียนวิชานี้แล้วได้รู้จักกับการอัฟบล็อค มันทำให้ผมได้มีความรู้สึกที่แปลกๆต่างๆดีเหมือนกัน โดยปกติแล้วผมก็เป็นคนที่พูดมากอยู่แล้ว แต่เวลา
คิดที่จะเขียนหรือพิมออกมานั้น ผมว่ามันได้ฝึกการใช้ทักษะการสื่อสารที่ต่างออกไปกับสิ่งที่ผมเคยชิน ทุกครั้งที่ผมได้มีเวลามานั่งอัฟบล็อคมันยากมากเลยที่จะหาเวลานั้น แต่เมื่อได้เริ่มในการอัฟ(เริ่มโม้) มันทำให้รู้สึกลื่นไหลไปเรื่อยๆ อยากจะอธิบายต่อไปเรื่อยๆ มันสนุกดีนะครับ ที่ได้สื่อสารกับคนโดยที่ไม่ต้องเผชิญหน้ากัน และเราก็เป็นฝ่ายสื่อสารอย่างเดียว ไม่มีใครคอยมาเบรค หรือเบี่ยงเบนความสนใจไปจากเรา สนุกดีน่ะครับ อย่างน้อยก็มีอาจารย์ที่จำเป็นต้องอ่านของผมล่ะครับ

ผมขอเริ่มเข้าสาระกันบ้างสำหรับการเรียนวิชาComunication Art Design4 การที่ผมได้เรียนวิชานี้กับอาจารย์ทั้ง 2 ท่าน ผมขอบอกเลยว่าผมตั้งใจ
ที่จะรอลงทะเบียนเพื่อเรียนกับอาจารย์ ที่ไม่ได้มาเรียนสัปดาห์แรกก็เพราะว่าผมรอให้ตารางสอนออกก่อนแล้วค่อยลงทะเบียน เนื่องจากผมอยากลองของ มีเพื่อนๆเคยบอกผมว่าถ้าผมได้เรียนกับอาจารย์ติ๊กต้องแย่แน่นอน ผมต้องไม่รอดแน่นอน อาจจะต้องเรียนใหม่อีกครั้งนึงอีกเป็นแน่แท้ เพราะอาจารไม่ค่อยยอมปล่อยไหลเด็กไปง่ายๆ แต่ผมก็อยากจะลองดูเหมือนกัน เพราะผมคิดว่าเมื่อเรียนจบไปผมอยากจะทำงานที่เกี่ยวข้องกับสายที่เรียนมา และถ้าจะไปทำงานสิ่งนึงที่หนีไม่พ้นนั่นก็คือลูกค้า อาจารย์ที่เคี่ยวๆผมว่าก็เหมือนๆกับลูกค้าที่เรื่องมากนั่นเอง ยังไงมันก็คงจะเป็นสิ่งที่หนีไม่พ้นอยู่แล้ว ถือเป็นการทดลองใช้ชีวิตภายใต้ความกดดันดูก่อน ซึ่งเหลือเวลาให้ผมทดลองอีกแค่ 2-3 วิชาเท่านั้น ก่อนที่จะต้องออกไปเผชิญกับโลกกว้างที่กำลังร้อนตามลำพัง และเมื่อเรียนมาจนถึงสัปดาห์สุดท้ายแล้วผมก็ถือว่ามีความพอใจในระดับนึงคับ

แต่ต้องขอบอกก่อนเลยว่าผมเรียนวิชานี้เป็นการเรียนที่ผมมีความสุขนะครับแม้แต่ช่วงเวลาที่ทำงานก็มี่ความสุข แต่จะไม่สุขมากขอใช้คำว่าไม่ได้ลำบากใจในการเรียนเลย อาจจะเป็นเพราะว่าผมได้ทำงานที่มันเกี่ยวข้องกับสิ่งที่ผมชอบคือการถ่ายภาพก็เป็นไปได้ เลยรู้สึกไม่ค่อยฝืนตัวเอง
มันทำให้ผมได้รู้อะไรหลายอย่าง รู้ว่าเราเป็นใคร รู้ว่าเราควรทำอะไร รู้ว่าเราทำอะไรเป็น รู้ว่าเราจะทำอะไร รู้ว่าเราควรจะทำอย่างไร ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ผมคิดว่าเราควรจะรู้มาตั้งนานแล้ว แต่มีอยู่อย่างนึงที่ผมคิดว่าสำคัญมากเลย คือ การที่ได้รู้ว่าเราไม่รู้อะไรบ้าง ผมว่าคงมีคงหลายคนที่ใช้คำว่า ไม่รู้ ไม่ทราบ ไม่ชอบ ไม่ได้สนใจ เป็นต้น มาใช้เพื่อการที่จะปฏิเสธอะไรบางอย่าง แล้วมันก็จะทำให้คนเหล่านั้นปิดประตูกับสิ่งเหล่านั้นไปอย่างสิ้นเชิง
ผมว่าอะไรที่เราไม่เคยรู้จักหรือรู้จักแค่นิดหน่อยแล้วก็ไม่เอาแล้วไม่ชอบ รับไม่ได้ สิ่งเหลานั้นผมคิดว่ามันอาจจะเป็นสิ่งใหม่ก็ได้ แต่หลายคนกลับมีความสุขกับการที่ได้อยู่กับสิ่งที่ถนัด สิ่งที่ชอบ สิ่งที่ทำแล้วมีความสุข จะให้มองกันอีกด้านผมว่านั่นมันก็คือสิ่งเก่า หรือสิ่งเดิมนั่นเอง แต่เราอาจจะไม่เบื่อไม่รังเกียจมัน เพราะเราโดนบดบังไปด้วยความสุขของเรานั่นเอง ซึ่งมันก็ไม่ได้ผิดอะไรเลย ใครทำอะไรถ้าไม่เบียดเบียนคนอื่นก็คงไม่น่าจะผิด
แต่ที่สำคัญคือ อย่าเบียดเบียนตัวเองแล้วกัน

ผมตั้งใจไว้แล้วก่อนเรียนวิชานี้ว่าผมจะไม่เชื่อมั่นอะไรในตัวเองมากเกินไป ผมจะฟังความคิดเห็นของ อาจรย์ เพื่อนๆ หรือคนอื่นๆ ที่จะให้คำแนะนำหรือความรู้ รวมถึงรับฟังทัศนะคติของคนอื่นที่มีต่อเรา และงานของเราด้วย ผมว่ามันเป็นความวิเศษมากเลยครับถ้าเราเรียนรู้ความคิดเห็นของคนอื่น เพราะคนอื่นก็มีอะไรๆหลายๆอย่างที่เหมือนกันกับเราเกือบทุกอย่าง แต่สิ่งที่ต่างกันนั่นมันก็คือ ความรู้สึกนึกคิด หรือจิตใจนั่นเอง พวกเราหลายๆคนก็คงจะเคยมีความสุขจากการตอบสนองจิตใจตัวเองกันมาเยอะแล้ว แต่มันจะดีแค่ไหนถ้าเราเก่งถึงขั้นไปตอบสนองได้ถึง จิตใจของคนอื่น ผมก็อยากจะเรียนรู้จิตใจของคนที่เกลียดผมบ้างหมือนกัน มันน่าได้อะไรสิ่งใหม่เกิดขึนบ้าง มีอยู่อย่างนึงที่ผมกำลังสนใจอยู่คือ ผมกำลังเรียนรู้ข้อดีจากข้อเสียของตัวเองอยู่ คงจะน่าสนใจดีน่ะถ้าบรรลุได้ แต่ผมก็รู้วิธีแล้วว่าถ้าเราอยากเรียนรู้อะไรก็แค่ลองเปิดใจให้กว้าง แล้วก็ใช้เวลาอยู่กับมัน ให้ความสำคัญกับมัน สิ่งที่เราต้องการมันก็จะออกมาเอง ถ้าเราไม่ปิดตัวเองซ่ะอย่างยังไงทุกสิ่งทุกอย่างก็เป็นความรู้หรือสิ่งใหม่ได้ หลายๆคนพยายามจะคิด
จะรู้ จะสร้าง จะทำแต่สิ่งใหม่ๆ ด้วยการทำทุกวิถีทาง แต่ไม่เคยเลยที่จะทำความรู้จักกับตัวเองก่อน ทั้งๆที่มันง่ายมากเลย เพียงแค่สนทนากับตัวเองในใจก็ได้แล้ว เมื่อเรารู้จักตัวเองแล้ว เราก็จะรู้ว่าเราต้องการอะไร แล้วจะมีความสุขแค่ไหน ถ้าเราสามารถทำตามความปรารถนาของตนเองได้
ทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้นนี้มันก็คือความต้องการของผมที่อยากจะบอกคนอื่น แค่นี้ผมก็มีความสุขแล้ว.

ไม่มีความคิดเห็น: